วันพฤหัสบดี ที่ 3 ตุลาคม 2562
การนำเสนอรายงานการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการให้การศึกษาผู้ปกครองเด็กปฐมวัยในเรื่องต่างๆ ดังนี้
หลักสูตรปริญญา : การศึกษามหาบัณฑิต สาขาการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ปีที่ทำวิจัย : พ.ศ.2554
ผู้วิจัย : อารีย์ คำสังฆะ
1.บทนำ ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
1.1 ภาษาเป็นสิ่งสำคัญเพราะเป็นสิ่งที่แสดงออกถึงอารยธรรมของมนุษย์ที่บ่งบอกเอกลักษณ์ความเป็นชนเผ่าและความเป็นชนชาติได้ดี
1.2 ภาษาเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้รอบตัวขอองเด็กตั้งแต่เกิด และเป็นสื่อในการเรียนให้ได้ความรู้ประสบการณ์ต่างๆ
1.3 เด็กสามารถใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ในยุคสารสนเทศผ่านภาษา
1.4 การส่งเสริมความสามารถทางภาษาให้กับเด็กสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเล่านิทาน การเล่นนิ้วมือ การเล่น ทายปัญหา ร้องเพลง หรือแม้การสนทนาของบุคคลรอบข้าง
1.5 การส่งเสริมให้ผู้ปกครองเห็นความสำคัญของตนเอง ที่มีต่อการเรียนรู้ของเด็กก็เป็นสิ่งสำคัญ
1.6 หัวใจสำคัญของการเรียนรู้ภาษาของเด็กปฐมวัย การที่ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้
1.7 การเรียนรุู้ภาษาเกิดขึ้นได้ทุกที่และควรมีความร่วมมือกับพ่อแม่ผู้ปกครองเพื่อร่วมกันพัฒนาเด็กตามศักยภาพ
2.วัถตุประสงค์การวิจัย
2.1 เพื่อพัฒนาการทางด้านภาษาด้านความเข้าใจภาษาของเด็กปฐมวัยโดยผู้ปกครองใช้ชุดกิจกรรม ''เล่นกับลูกปลูกภาษา"
2.2 เพื่อเปรียบเทียบความเข้าใจภาษาของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรม ''เล่นกับลูกปลูกภาษา"
3.ขอบเขตการศึกษาการวิจัย
3.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย
พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูเด็กชาย-หญิง อายุ 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาล 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 โรงเรียนสุเหร่าทรายกองดิน แขวงแสนแสบ สำนักงานเขตมีนบุรี สังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 2 ห้องเรียน นักเรียน 50 คน
3.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย
พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูเด็กชาย-หญิง อายุ 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาล 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 โรงเรียนสุเหร่าทรายกองดิน แขวงแสนแสบ สำนักงานเขตมีนบุรี สังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 25 คน ที่ได้จาการสุ่มอย่างง่ายโดยจับสลาก
4.ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
4.1 ตัวแปรอิสระ : ชุดกิจกรรม ''เล่นกับลูกปลูกภาษา"
4.2 ตัวแปรตาม : ความเข้าใจภาษา
5.นิยามศัพท์เฉพาะ
5.1 เด็กปฐมวัย
หมายถึง นักเรียนชาย-หญิง อายุระหว่าง 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาล 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 โรงเรียนสุเหร่าทรายกองดิน แขวงแสนแสบ สำนักงานเขตมีนบุรี สังกัดกรุงเทพมหานคร
5.2 ผู้ปกครอง
หมายถึง พ่อแม่ ญาติ พี่ น้อง หรือบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดเด็ก ให้การอุปการะเลี้ยงดูให้ความรัก เอาใจใส่ตลอดจนให้การศึกษากับเด็กเป็นกลุ่มตัวอย่าง
5.3 ชุดกิจกรรม "เล่นกับลูกปลูกภาษา"
หมายถึง เอกสารให้ความรู้ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง เพื่อพัฒนาความเข้าใจของเด็กปฐมวัย ประกอบไปด้วย เอกสารให้ความรู้แก่ผู้ปกครอง แบบบันทึกพฤติกรรมเด็กในระหว่างการทำกิจกรรม ทั้งนี้เด็กก็จะได้เรียนรู้ภาษาจากการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ปกครองผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ ในชุดกิจกรรม 8 ชุด ประกอบไปด้วย ชุดที่ 1 นิทานหรรษา ชุดที่ 2 ปริศนาฮาเฮ ชุดที่ 3 นิ้วมือมหัศจรรย์ ชุดที่ 4 อักษรซ่อนหา ชุดที่ 5 นิทานย้อนกลับ ชุดที่ 6 ภาษาในครัว ชุดที่ 7 นักสืบน้อย ชุดที่ 8 จ๊ะเอ๋ชื่อใครเอ่ย
ซึ่งแต่ละชุดประกอบไปด้วย 3 ส่วน
ส่วนที่ 1 เกร็ดความรู้ผู้ใหญ่ เป็นส่วนการให้ความรู้ผู้ปกครอง ในเรื่องพัฒนาการเด็กปฐมวัยพัฒนาการทางด้านภาษา
ส่วนที่ 2 มาสนุกด้วยกันสิ เป็นวิธีการปฏิบัติกิจกรรมร่วมกันระหว่างผู้ปกครองกับเด็ก เช่น การเล่านิทาน ทายปริศนา เป็นต้น
ส่วนที่ 3 เรื่องเล่าจากบ้าน เป็นส่วนของการพูดคุย ซักถาม และเขียนคำตอบ หรือผลการปฏิบัติกิจกรรม
5.4 ความเข้าใจภาษา
หมายถึง การที่เด็กปฐมวัยใช้ประสาทสัมผัสทั้ง5 รับข้อมูลไปสู่กระบวนการคิด แล้วแสดงออกถึงความเข้าใจด้วยการพูดที่สื่อความหมายว่าเข้าใจความหมายของคำประโยค ในวิจัยครั้งนี้ศึกษาเข้าใจภาษาของเด็กปฐมวัย 2 ด้าน ได้แก่
1.การใช้คำอย่างมีจุดหมาย
2.การใช้ประโยชน์เพื่อสื่อความหมาย
6.สมมติฐานการวิจัย
เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมด้วยชุดกิจกรรม "เล่นกับลูกปลูกภาษา" โดยผู้ปกครองมีความเข้าใจภาษาหลังทำกิจกรรมสูงกว่าก่อนทำกิจกรรม
เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมด้วยชุดกิจกรรม "เล่นกับลูกปลูกภาษา" โดยผู้ปกครองมีความเข้าใจภาษาหลังทำกิจกรรมสูงกว่าก่อนทำกิจกรรม
7.วิธีการดำเนินการวิจัย
7.1 ประชากร
ได้แก่ พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูเด็กชาย-หญิง อายุ 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาล 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 โรงเรียนสุเหร่าทรายกองดิน แขวงแสนแสบ สำนักงานเขตมีนบุรี สังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 2 ห้องเรียน นักเรียน 50 คน
7.2 กลุ่มตัวอย่าง
ได้แก่ พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูเด็กชาย-หญิง อายุ 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาล 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 โรงเรียนสุเหร่าทรายกองดิน แขวงแสนแสบ สำนักงานเขตมีนบุรี สังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 25 คน ที่ได้จาการสุ่มอย่างง่ายโดยจับสลาก 1 ห้องเรียน
7.1 ประชากร
ได้แก่ พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูเด็กชาย-หญิง อายุ 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาล 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 โรงเรียนสุเหร่าทรายกองดิน แขวงแสนแสบ สำนักงานเขตมีนบุรี สังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 2 ห้องเรียน นักเรียน 50 คน
7.2 กลุ่มตัวอย่าง
ได้แก่ พ่อแม่หรือผู้เลี้ยงดูเด็กชาย-หญิง อายุ 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นอนุบาล 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 โรงเรียนสุเหร่าทรายกองดิน แขวงแสนแสบ สำนักงานเขตมีนบุรี สังกัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 25 คน ที่ได้จาการสุ่มอย่างง่ายโดยจับสลาก 1 ห้องเรียน
8.เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
8.1 ชุดกิจกรรม"เล่นกับลูกปลูกภาษา"
8.2 แบบวัดความเข้าใจภาษาเด็กปฐมวัย
8.3 แบบวิเคราะห์เข้าใจภาษาของเด็กปฐมวัย
8.1 ชุดกิจกรรม"เล่นกับลูกปลูกภาษา"
8.2 แบบวัดความเข้าใจภาษาเด็กปฐมวัย
8.3 แบบวิเคราะห์เข้าใจภาษาของเด็กปฐมวัย
การสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
9.1 ชุดกิจกรรม"เล่นกับลูกปลูกภาษา" ซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อพัฒนาความเข้าใจทางภาษาของเด็กปฐมวัย จำนวน 8 ชุด สร้างเครื่องมือตามลำดับขั้นตอน ดังนี้
-ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแนวคิด ทฤษฎี หลักการสอนและหลักการจัดกิจกรรมตามแนวการสอนแบบภาษาธรรมชาติ
-ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัย
-ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการให้ความรู้ผู้ปกครองและการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง
-ศึกษาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช 2546 ตลอดจนคู่มือหลักสูตร
-สร้างชุดกิจกรรมเพื่อให้ความรู้แก่ผู้ปกครองและกิจกรรมที่ผู้ปกครองที่ต้องทำร่วมกับเด็ก
-นำชุดกิจกรรมที่สร้างขึ้นเสนอผู้เชี่ยวชาญ ตรวจพิจารณาความเหมาะสมของเนื้อหาและกิจกรรมเพื่อปรับปรุงแก้ไขโดยผู้เชี่ยวชาญ
-นำชุดกิจกรรมที่ปรับปรุงแล้วไปทดลองใช้ Try Out กับผู้ปกครองและเด็ก
-นำชุดกิจกรรม"เล่นกับลูกปลูกภาษา" นำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง
9.2 แบบแผนการทดลองและวิธีการทดลอง
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยกึ่งทดลอง ซึ่งผู้วิจัยได้ทดลองแบบ One-Group Pretest-Postest Design ซึ่งมีแบบแผนทดลอง ดังนี้
-จัดเก็บข้อมูลพื้นฐาน Baseline Data ความเข้าใจทางภาษาของกลุ่มตัวอย่าง 25 คน ก่อนใช้ชุดกิจกรรม
-ประชุมนิเทศผู้ปกครอง
-ผู้วิจัยแจกชุดกิจกรรมให้เด็กในวันจันทร์ เพื่อให้เด็กและผู้แกครองนำไปทำกิจกรรมร่วมกันตลอดทั้งสัปดาห์
-ผู้วิจัยและผู้ช่วยวิจัย สังเกตและจดบันทึกพฤติกรรมพร้อม คำพูดของเด็กกลุ่มตัวอย่างจำนวน 25 คน ขณะทำกิจกรรม
-จัดเก็บข้อมูล เด็กกลุ่มตัวอย่างจำนวน 25 คน หลังการใช้ชุดกิจกรรม"เล่นกับลูกปลูกภาษา"
-นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ตามวิธีการทางสถิติ เพื่อสรุปผลการวิจัย
10.การวิเคราะห์ข้อมูล
10.1 เก็บรวบรวมข้อมูลความเข้าใจทางภาษาก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรม"เล่นกับลูกปลูกภาษา" ด้วยแบบวัดความเข้าใจทางภาษาของเด็กปฐมวัย
10.2 เก็บรวบรวมข้อมูลการทำชุดกิจกรรม"เล่นกับลูกปลูกภาษา" ของผู้ปกครองจากส่วนเรื่องเล่าจากบ้านในชุดกิจกรรม
10.3 เก็บรวบรวมข้อมูลจากการสังเกตและจดบันทึกพฤติกรรม คำพูดของเด็กโดยผู้วิจัยและผู้ช่วยวิจัยนำข้อมูลมาตรวจสอบความถูกต้อง
10.4 รวบรวมข้อมูลผลการวิเคราะห์ทางสถิติเขียนรายงานการวิจัย
10.1 เก็บรวบรวมข้อมูลความเข้าใจทางภาษาก่อนและหลังการใช้ชุดกิจกรรม"เล่นกับลูกปลูกภาษา" ด้วยแบบวัดความเข้าใจทางภาษาของเด็กปฐมวัย
10.2 เก็บรวบรวมข้อมูลการทำชุดกิจกรรม"เล่นกับลูกปลูกภาษา" ของผู้ปกครองจากส่วนเรื่องเล่าจากบ้านในชุดกิจกรรม
10.3 เก็บรวบรวมข้อมูลจากการสังเกตและจดบันทึกพฤติกรรม คำพูดของเด็กโดยผู้วิจัยและผู้ช่วยวิจัยนำข้อมูลมาตรวจสอบความถูกต้อง
10.4 รวบรวมข้อมูลผลการวิเคราะห์ทางสถิติเขียนรายงานการวิจัย
11.สถิติที่ใช้ในการวิจัย
11.1 การคำนวณหาค่าความยาก-ง่าย
11.2 การคำนวณหาค่าอำนาจจำแนก
11.3 การคำนวณหาค่าความเชื่อมั่น
11.4 หาค่าดัชนีความสอดคล้องของเนื้อหาและกิจกรรม
11.5 การคำนวณหาค่าเฉลี่ยของคะแนน (MEAN)
11.6 การคำนวณหาค่าความเบี่ยงเบนมาตราฐาน (Standard deviation)
11.7 เปรียบเทียบคะแนนความแตกต่างของคะแนนค่าเฉลี่ยก่อนและหลังทำการทดลอง ใช้สูตร t-test Dependele
12.1 เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมส่งเสริมความเข้าใจภาษาโดยผูัปกครองใช้ชุดกิจกรรม"เล่นกับลูกปลูกภาษา" มีพัฒนาการความเข้าใจภาษา โดยรวมสูงขึ้นร้อยละ 52.72 ของความสามารถพื้นฐานเดิม
12.2 เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมส่งเสริมความเข้าใจภาษาโดยผู้ปกครองใช้ชุดกิจกรรม"เล่นกับลูกปลูกภาษา" มีความเข้าใจภาษาโดยรวมและจำแนกรายด้าน คือ การใช้คำอย่างมีจุดมุ่งหมายและการใช้ประโยคเพื่อสื่อความหมายสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
กลุ่มที่ 2 เรื่อง การพัฒนาโปรแกรมมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย
การวิจัยของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา
ปีที่ทำวิจัย : พ.ศ.25571
ผู้วิจัย : ผู้ช่วยศาสตราจารย์บุญไท เจริญผล
นางสาวภัทราวรรณ จันทร์เนตร์
นางสาวภรภัทร นิยมชัย
1. บทนำ ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
่ 1.1 การศึกษาเป็นกระบวนการทางสังคมที่สำคัญยิ่งต่อสังคมมนุษย์ในอันที่จะสร้างความมั่นคงเป็นปึกแผ่นและทำให้สังคมดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย
1.2 การพัฒนาทักษะทางภาษาเป็นสิ่งสำคัญและมีความจำเป็นสำหรับเด็กปฐมวัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งการอ่านเป็นทักษะหนึ่งที่สำคัญต่อชีวิตมนุษย์ในยุคปัจจุบันช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ให้ดียิ่งขึ้น
1.3 ผู้ปกครองนับว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะผู้มีบทบาทในการอบรมเลี้ยงดูบุตรหลานให้เติบโตเป็นเยาวชนของชาติที่มีคุณภาพและมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ
1.4 การพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย จึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาเด็กให้มีนิสัยรักการอ่านและเป็นการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กได้อีกทางหนึ่ง
2.วัตถุประสงค์การวิจัย
2.1 เพื่อศึกษาผลการใช้โปรแกรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย
2.2 เพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย
3.ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
3.1 เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย
3.2 เด็กปฐมวัยได้รับการพัฒนาให้มีนิสัยรักการอ่าน
3.3 เพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางการจัดการโปรแกรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอื่นๆ โดยการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง
3.4 เพื่อเป็นประโยชน์ในการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยระดับอุดมศึกษาในรายวิชาการจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย รายวิชาสื่อสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัย รายวิชานิทานละครและหุ่นสำหรับเด็กปฐมวัย และรายวิชาการให้การศึกษาแก่ผู้ปกครองเด็กปฐมวัย
4.ขอบเขตการศึกษาวิจัย
8.วิธีการดำเนินการวิจัย
8.1 คณะผู้วิจัยทำหนังสือถึงผู้อำนวยการโรงเรียนวัดมเหยงค์ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 เพื่อขออนุญาตทำการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล
8.2 ขอความอนุเคราะห์ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดมเหยงค์ ส่งใบสมัครให้ผู้ปกครองและเด็กปฐมวัย เข้าร่วมโครงการวิจัยจำนวน 20 คน
8.3 ประชุมชี้แจงให้ผู้ปกครองทราบเกี่ยวกับรายละเอียดของโปรแกรมการส่งเสริมเด็กปฐมวัยให้มีนิสัยรักการอ่านและวัดความรู้ความเข้าใจของผู้ปกครองในการพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัยและให้ผู้ปกครองสังเกตพฤติกรรมนิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัยก่อนการทดลอง
8.4 ดำเนินการทดลองตามแผนโครงการวิจัย
8.5 วัดความรู้ความเข้าใจของผู้ปกครองในการพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัยและให้ผู้ปกครอง สังเกตพฤติกรรมนิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัยหลังการทดลอง
8.6 นำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์ตามวิธีการทางสถิติ
1.2 การพัฒนาทักษะทางภาษาเป็นสิ่งสำคัญและมีความจำเป็นสำหรับเด็กปฐมวัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งการอ่านเป็นทักษะหนึ่งที่สำคัญต่อชีวิตมนุษย์ในยุคปัจจุบันช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ให้ดียิ่งขึ้น
1.3 ผู้ปกครองนับว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะผู้มีบทบาทในการอบรมเลี้ยงดูบุตรหลานให้เติบโตเป็นเยาวชนของชาติที่มีคุณภาพและมีส่วนสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ
1.4 การพัฒนารูปแบบการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย จึงเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาเด็กให้มีนิสัยรักการอ่านและเป็นการยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของเด็กได้อีกทางหนึ่ง
2.วัตถุประสงค์การวิจัย
2.1 เพื่อศึกษาผลการใช้โปรแกรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย
2.2 เพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย
3.ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
3.1 เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย
3.2 เด็กปฐมวัยได้รับการพัฒนาให้มีนิสัยรักการอ่าน
3.3 เพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางการจัดการโปรแกรมการพัฒนาเด็กปฐมวัยด้านอื่นๆ โดยการมีส่วนร่วมของผู้ปกครอง
3.4 เพื่อเป็นประโยชน์ในการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยระดับอุดมศึกษาในรายวิชาการจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย รายวิชาสื่อสร้างสรรค์สำหรับเด็กปฐมวัย รายวิชานิทานละครและหุ่นสำหรับเด็กปฐมวัย และรายวิชาการให้การศึกษาแก่ผู้ปกครองเด็กปฐมวัย
4.1 ประชากร
-ผู้ปกครองของเด็กปฐมวัย อายุ 4-5 ปี ชั้นอนุบาลปี่ที่ 2 ของโรงเรียนวัดมเหยงค์ อ.นครหลวง
จ.พระนครศรีอยุธยา
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 จำนวน 37 คน
-เด็กปฐมวัย อายุ 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปี่ที่ 2 ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2556 ของโรงเรียนวัดมเหยงค์ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 จำนวน 37 คน
4.2 กลุ่มตัวอย่าง
-ผู้ปกครองของเด็กปฐมวัย อายุ 4-5 ปี ชั้นอนุบาลปี่ที่ 2 ของโรงเรียนวัดมเหยงค์
อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา
เขต 1 จำนวน 20 คน
-เด็กปฐมวัย
อายุ 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปี่ที่
2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา
2556
ของโรงเรียนวัดมเหยงค์ อ.นครหลวง
จ.พระนครศรีอยุธยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา
เขต 1 จำนวน 20 คน
5.ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
5.1 ตัวแปรอิสระ/ตัวแปรต้น /ตัวจัดกระทำ
-โปรแกรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย
5.2 ตัวแปรตาม
-นิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย ได้แก่
ด้านความสนใจในการอ่าน และด้านพฤติกรรมการอ่าน
6.นิยามศัพท์เฉพาะ
6.1 เด็กปฐมวัย
เด็กนักเรียนชายหญิง อายุระหว่าง 4-5 ปี
ที่กำลังศึกษาอยู่ใน ชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556
ของโรงเรียนวัดมเหยงค์ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา
สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยาเขต 1
6.2 ผู้ปกครองเด็กปฐมวัย
พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง
หรือบุคคลอื่นที่อยู่ใกล้ชิดเด็กให้การอุปการะเลี้ยงดู ให้ความรัก
เอาใจใส่ อบรมสั่งสอน ตลอดจนให้การศึกษาแก่เด็ก
6.3 นิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย
การแสดงออกถึงความพอใจในการดูหนังสือภาพของเด็กปฐมวัยจากการอ่านหนังสือโดยผู้ปกครอง
ความสนใจในการอ่านของเด็กปฐมวัย
ตลอดจนพฤติกรรมที่เด็กปฐมวัยแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่จะฟังนิทานจากผู้ปกครอง
พฤติกรรมที่บ่งบอกถึงนิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัยแบ่งออกเป็น 2 ด้าน คือ
ด้านความสนใจในการอ่านและด้านพฤติกรรมการอ่าน
7.สมมติฐานการวิจัย
เด็กปฐมวัยที่ใช้โปรแกรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย
มีการพัฒนานิสัยรักการอ่านสูงขึ้น
8.วิธีการดำเนินการวิจัย
8.1 คณะผู้วิจัยทำหนังสือถึงผู้อำนวยการโรงเรียนวัดมเหยงค์ อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพระนครศรีอยุธยา เขต 1 เพื่อขออนุญาตทำการทดลองและเก็บรวบรวมข้อมูล
8.2 ขอความอนุเคราะห์ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดมเหยงค์ ส่งใบสมัครให้ผู้ปกครองและเด็กปฐมวัย เข้าร่วมโครงการวิจัยจำนวน 20 คน
8.3 ประชุมชี้แจงให้ผู้ปกครองทราบเกี่ยวกับรายละเอียดของโปรแกรมการส่งเสริมเด็กปฐมวัยให้มีนิสัยรักการอ่านและวัดความรู้ความเข้าใจของผู้ปกครองในการพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัยและให้ผู้ปกครองสังเกตพฤติกรรมนิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัยก่อนการทดลอง
8.4 ดำเนินการทดลองตามแผนโครงการวิจัย
8.5 วัดความรู้ความเข้าใจของผู้ปกครองในการพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัยและให้ผู้ปกครอง สังเกตพฤติกรรมนิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัยหลังการทดลอง
8.6 นำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์ตามวิธีการทางสถิติ
9.เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
9.1 โปรแกรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองในการพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย
9.2 แบบวัดความรู้ความเข้าใจของผู้ปกครองในการพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย
9.3 แบบสังเกตพฤติกรรมนิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย
9.2 แบบวัดความรู้ความเข้าใจของผู้ปกครองในการพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย
9.3 แบบสังเกตพฤติกรรมนิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย
10.การวิเคราะห์ข้อมูล
10.1 ค่าสถิติพื้นฐาน
10.2 สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานเปรียบเทียบคะแนนก่อนทดลองและหลังการทดลองโดยใช้ t-test แบบ Dependent Samples
11.สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
11.1 ค่าเฉลี่ย
11.2 ค่า S.D.
11.3 ค่า IOC
11.4 ค่า t-test
12.สรุปผลการวิจัย
12.1 ผู้ปกครองที่ใช้โปรแกรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเพื่อพัฒนานิสันรักการอ่านของเด็กปฐมวัย มีความรู้ความเข้าใจในการส่งเสริมเด็กปฐมวัยนิสัยรักการอ่านสูงขึ้นหลังการทดสอบ
12.2 เด็กปฐมวัยที่ใช้โปรแกรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย มีการพัฒนานิสัยรักการอ่านสูงขึ้นหลังการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
10.1 ค่าสถิติพื้นฐาน
10.2 สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานเปรียบเทียบคะแนนก่อนทดลองและหลังการทดลองโดยใช้ t-test แบบ Dependent Samples
11.สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
11.1 ค่าเฉลี่ย
11.2 ค่า S.D.
11.3 ค่า IOC
11.4 ค่า t-test
12.สรุปผลการวิจัย
12.1 ผู้ปกครองที่ใช้โปรแกรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเพื่อพัฒนานิสันรักการอ่านของเด็กปฐมวัย มีความรู้ความเข้าใจในการส่งเสริมเด็กปฐมวัยนิสัยรักการอ่านสูงขึ้นหลังการทดสอบ
12.2 เด็กปฐมวัยที่ใช้โปรแกรมการมีส่วนร่วมของผู้ปกครองเพื่อพัฒนานิสัยรักการอ่านของเด็กปฐมวัย มีการพัฒนานิสัยรักการอ่านสูงขึ้นหลังการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
กลุ่มที่ 3 เรื่อง การศึกษาผลของการให้การศึกษาแก่ผู้ปกครองในการสอนความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย
การศึกษาระดับ : หลักสูตรปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ปีที่ทำวิจัย: 2533
ผู้วิจัย : วรยา
กาญจนชาติ1. บทนำ ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
1.1 จากการสำรวจการเล่นของเด็กชนบทในชุมชนเกษตรกรรมพบว่า ไม่มีของเล่นที่ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านสติปัญญา หรือของเล่นเพื่อการศึกษาแต่อย่างใด
1.2 พ่อแม่ยังมองไม่เห็นความสำคัญของการเล่น และของเล่นที่ส่งเสริมความพร้อมทางสติปัญญาเท่าที่ควร โดยคิดว่าของเล่นและการเล่นของเด็กมีประโยชน์เพียงให้เด็กเกิดความสนุกสนานเพลิดเพลิน
1.3 พ่อแม่ขาดความรู้ความเข้าใจในการให้อบรมเลี้ยงดูที่ถูกวิธี ละเลยบทบาทหน้าที่ของตนในการให้การอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาเบื้องต้นแก่ลูกหลานของตนให้มีพัฒนาการที่เหมาะสม
1.4 ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษาว่า การให้การศึกษาแก่ผู้ปกครองในการสอนความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ให้กับเด็ก โดยผู้ปกครองคิดวิธีสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กร่วมกับผู้วิจัย
1.5 ผู้ปกครองเรียนรู้วิธีการสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กจากชุดการสอนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เพื่อส่งผลให้เด็กมีพัฒนาการด้านความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ได้ดีกว่าเดิม
2.วัตถุประสงค์การวิจัย
เพื่อเปรียบเทียบความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง 2 ½ -4 ปีบริบูรณ์ ในชนบทที่สอนโดยผู้ปกครองซึ่งคิดวิธีสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กด้วยตัวเองหลังจากได้รับการศึกษาโดยคิดวิธีสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กร่วมกับผู้วิจัยกับผู้ปกครองซึ่งเรียนรู้วิธีสอน และการใช้สื่อในการสอนเด็กจากชุดการสอนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
3.ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
3.1 ทำให้ทราบผลของความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่สอนโดยผู้ปกครองที่ได้รับการศึกษาที่แตกต่างกัน
3.2 เพื่อให้ผู้ปกครองเห็นความสำคัญของตนเองในการสอนลูกหลานให้เกิดพัฒนาการด้านต่างๆได้ด้วยตนเอง
4.ขอบเขตการศึกษาวิจัย
4.1 ประชากร
ได้แก่ ผู้ปกครองของเด็กปฐมวัย และเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง 2 ½ -4 ปีบริบูรณ์ ในเขตพัฒนา อำเภอ บางเลน จังหวัดนครปฐม ซึ่งมีคุณสมบัติตามที่กำหนด ในปี พ.ศ.2532
ได้แก่ ผู้ปกครองของเด็กปฐมวัย และเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง 2 ½ -4 ปีบริบูรณ์ ในเขตพัฒนา อำเภอ บางเลน จังหวัดนครปฐม ซึ่งมีคุณสมบัติตามที่กำหนด ในปี พ.ศ.2532
1.ผู้ปกครองมีคุณสมบัติ ดังนี้
-อายุระหว่าง
25-40 ปี
-การศึกษาจบชั้นประถมศึกษาปีที่4-7
-มีรายได้เฉลี่ยของครอบครัวประมานเดือนละ2000ถึง
4000
2. เด็กมีคุณสมบัติ ดังนี้
-มีอายุระหว่าง
2 ½ -4 ปีบริบูรณ์ในวันที่ทำการทดลอง
-ไม่เคยเข้ารับการอบรมเลี้ยงดูในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของกรมการพัฒนาชุมชน
กระทรวงมหาดไทย หรือศูนย์โภชนาการของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
หรือสถาบันรับเลี้ยงเด็กใดๆมาก่อน
-เป็นเด็กที่มีผู้ปกครองตามคุณสมบัติข้อที่1.1
และมีบิดาอยู่ด้วยตลอดระยะเวลาของการทดลอง
4.2 กลุ่มตัวอย่าง
ได้แก่ ผู้ปกครองและเด็กมีคุณสมบัติตามที่กำหนดในข้อที่1 ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (simple Random)จำนวน25คู่ แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง2กลุ่ม กลุ่มทดลองที่1 จำนวน14คู่ กลุ่มทดลองที่2 จำนวน11คู่
ได้แก่ ผู้ปกครองและเด็กมีคุณสมบัติตามที่กำหนดในข้อที่1 ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (simple Random)จำนวน25คู่ แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง2กลุ่ม กลุ่มทดลองที่1 จำนวน14คู่ กลุ่มทดลองที่2 จำนวน11คู่
5.ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
5.1 ตัวแปรต้น
ได้แก่ การให้การศึกษาแก่ผู้ปกครองในการสอนเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง 2 1/2 - 4 ปีบริบูรณ์ ให้มีความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ 2 วิธี คือ
ได้แก่ การให้การศึกษาแก่ผู้ปกครองในการสอนเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง 2 1/2 - 4 ปีบริบูรณ์ ให้มีความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ 2 วิธี คือ
วิธีที่
1
ให้การศึกษาแก่ผู้ปกครองโดยให้ผู้ปกครองคิดวิธีการสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กร่วมกับผู้วิจัย
วิธีที่
2
ให้การศึกษาแก่ผู้ปกครองโดยให้ผู้ปกครองคิดวิธีการสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กจากชุดการสอนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
5.2 ตัวแปรตาม
ได้แก่ การพัฒนาด้านความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง 2 1/2 - 4 ปีบริบูรณ์
ได้แก่ การพัฒนาด้านความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง 2 1/2 - 4 ปีบริบูรณ์
6.นิยามศัพท์เฉพาะ
6.1 ผู้ปกครอง
หมายถึง มารดาของเด็กปฐมวัยอายุ ระหว่าง 2 1/2 - 4 ปีบริบูรณ์ ที่มีอายุ 25 – 40 ปีบริบูรณ์ ในวันที่ทำการทดลอง มีบิดาอยู่ด้วยตลอดระยะเวลาของการทดลอง
หมายถึง มารดาของเด็กปฐมวัยอายุ ระหว่าง 2 1/2 - 4 ปีบริบูรณ์ ที่มีอายุ 25 – 40 ปีบริบูรณ์ ในวันที่ทำการทดลอง มีบิดาอยู่ด้วยตลอดระยะเวลาของการทดลอง
6.2 เด็กปฐมวัย
หมายถึง เด็กที่มีอายุระหว่าง 2 1/2 - 4 ปีบริบูรณ์ในวันที่ทำการทดลอง เป็นเด็กที่ไม่เคยเข้ารับการอบรมเลี้ยงดูจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย หรือสถานรับเลี้ยงเด็กใดๆมาก่อน และมีผู้ปกครองตามคุณสมบัติข้อที่ 1
หมายถึง เด็กที่มีอายุระหว่าง 2 1/2 - 4 ปีบริบูรณ์ในวันที่ทำการทดลอง เป็นเด็กที่ไม่เคยเข้ารับการอบรมเลี้ยงดูจากศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย หรือสถานรับเลี้ยงเด็กใดๆมาก่อน และมีผู้ปกครองตามคุณสมบัติข้อที่ 1
6.3 การให้การศึกษาแก่ผู้ปกครอง
หมายถึง การวางพื้นฐานในการคิดและการจัดหาสื่อในการเด็กให้มีพัฒนาการด้านความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ ซึ่งมี 2 วิธี คือ
หมายถึง การวางพื้นฐานในการคิดและการจัดหาสื่อในการเด็กให้มีพัฒนาการด้านความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ ซึ่งมี 2 วิธี คือ
-ผู้ปกครองคิดวิธีสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กร่วมกับผู้วิจัย
3 เรื่อง คือ เรื่องวงกลม สี่เหลี่ยมและสามเหลี่ยม เรื่องละ 2 สัปดาห์ รวม 6
สัปดาห์ หลังจากนั้นผู้ปกครองคิดวิธีสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กเองอีก 4 เรื่อง
คือ เรื่อง ใหญ่ – เล็ก ยาว – สั้น หนัก – เบา และ มาก – น้อย
-ผู้ปกครองเรียนรู้วิธีสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กจากชุดการสอนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
3 เรื่อง คือ เรื่องวงกลม สี่เหลี่ยมและสามเหลี่ยม เรื่องละ 2 สัปดาห์ รวม 6
สัปดาห์ หลังจากนั้นผู้ปกครองคิดวิธีสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กเองอีก 4 เรื่อง
คือ เรื่อง ใหญ่ – เล็ก ยาว – สั้น หนัก – เบา และ มาก – น้อย
6.4 ความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง
2 1/2 - 4 ปีบริบูรณ์
หมายถึง ความสามารถในการชี้หรือบอกลักษณะของสิ่งของได้ถูกต้องดังนี้ คือ
หมายถึง ความสามารถในการชี้หรือบอกลักษณะของสิ่งของได้ถูกต้องดังนี้ คือ
6.4.1 ใหญ่
– เล็ก
6.4.2 ยาว
– สั้น
6.4.3 หนัก
– เบา
6.4.4 มาก
– น้อย
ซึ่งสามรถวัดได้จากแบบทดสอบที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
7.สมมติฐานการวิจัย
ความสามารถในการสร้างความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง
2
½ -4 ปี
บริบูรณ์ ในชนบทที่สอนโดยผู้ปกครองที่ได้รับการศึกษาโดยวิธีที่ 1
และ
2
แตกต่างกัน
8.วิธีการดำเนินการวิจัย
8.1 ประชากร
ที่ใช้ในการทดลองครั้งนี้เป็นผู้ปกครองของเด็กปฐมวัยและเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง 2 ½ - 4 ปีปริบูรณ์ ในเขตพัฒนาอำเภอบางแสน จังหวัดนครปฐม ซึ่งมีคุณสมบัติตามที่กำหนดในปี พ.ศ. 2532
ที่ใช้ในการทดลองครั้งนี้เป็นผู้ปกครองของเด็กปฐมวัยและเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง 2 ½ - 4 ปีปริบูรณ์ ในเขตพัฒนาอำเภอบางแสน จังหวัดนครปฐม ซึ่งมีคุณสมบัติตามที่กำหนดในปี พ.ศ. 2532
8.1.1 ผู้ปกครองมีคุณสมบัติ ดังนี้
-อายุระหว่าง 25-40 ปี
-การศึกษาจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6
-มีรายได้เฉลี่ยของครอบครัวประมาณเดือนละ 2,000
ถึง 4,000 บาท
8.1.2 เด็กมีคุณสมบัติ ดังนี้
-มีอายุระหว่าง 2 ½
- 4 ปีบริบูรณ์ในวันที่ทำการทดลอง
-ไม่เคยเข้ารับการอบรมเลี้ยงดูในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย หรือศูนย์โภชนาการของกรมอนามัย
กระทรวงสาธารณสุขหรือสถานรับเลี้ยงเด็กใดๆมาก่อน
-เป็นเด็กที่มีผู้ปกครองตามคุณสมบัติข้อที่
1.1
8.2 กลุ่มตัวอย่าง
ได้แก่ ผู้ปกครองและเด็กที่มีคุณสมบัติที่กำหนด ในข้อที่ 1 ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random) จำนวน 25 คู่ แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 2 กลุ่ม กลุ่มทดลองที่ 1 (14 คู่) กลุ่มทดลองที่ 2 จำนวน (11 คู่) โดยการจับฉลาก ซึ่งได้มา ดังนี้
ได้แก่ ผู้ปกครองและเด็กที่มีคุณสมบัติที่กำหนด ในข้อที่ 1 ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random) จำนวน 25 คู่ แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 2 กลุ่ม กลุ่มทดลองที่ 1 (14 คู่) กลุ่มทดลองที่ 2 จำนวน (11 คู่) โดยการจับฉลาก ซึ่งได้มา ดังนี้
หมู่บ้านที่ 2 และ 5
จำนวน 14 คู่ เป็นกลุ่มทดลองที่
1
หมู่บ้านที่ 4 จำนวน 11 คู่ เป็นกลุ่มทดลองที่ 2
9.เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
9.1 ชุดการสอนเพื่อส่งเสริมพัฒนาการด้านความคิดรวบยอดทางศาสตร์
เรื่อง รูปวงกลม สีเหลี่ยม และสามเหลี่ยม
ซึ่งผู้วิจัยสร้างขึ้นสำหรับผู้ปกครองกลุ่มที่เรียนรู้วิธีสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กจากชุดการสอน
9.2 แบบันทึกวิธีสอนและรายชื่อสื่อสำหรับผู้ปกครองกลุ่มที่คิดวิธีสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กร่วมกับผู้วิจัย
เรื่อง รูปวงกลม สีเหลี่ยม และสามเหลี่ยม
ซึ่งผู้วิจัยเป็นผู้บันทึก หลังจากผู้ปกครองคิดวิธีสอนและสื่อที่ใช้ในการสอนเด็กร่วมกับผู้วิจัยแล้ว
9.3 แบบบันทึกปริมาณการใช้สื่อในการสอนเด็กสำหรับผู้ปกครอง
ซึ่งผู้วิจัยใช้บันทึกรายชื่อสื่อ และจำนวนสื่อ ที่ผู้ปกครองทั้ง 2
กลุ่มใช้สอนเด็ก เรื่อง ใหญ่ – เล็ก ยาว
– สั้น หนัก – เบา และ มาก –
น้อย
9.4 แบบทดสอบความคิดรวบยอดทางคณิตสาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง
2 ½ - 4 ปีบริบูรณ์ เรื่อง ใหญ่ – เล็ก
ยาว – สั้น หนัก – เบา และ มาก –
น้อย
10.การดำเนินการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง
ผู้วิจัยดำเนินตามแบบแผนการวิจัยแบบ Randomized
Control – Group Pretest – Posttest Design (ล้วน
สายยศ และอังคณา สายยศ. 2518 : 216 )
การทดลองแบ่งออกเป็น
2 ขั้นตอน
10.1 ดำเนินการ ดังนี้
-ผู้วิจัยให้ความรู้แก่ผู้ปกครอง
2 กลุ่ม เกี่ยวกับวิธีสอน การใช้สื่อ
และ ขั้นตอนในการสอนเด็กปฐมวัย โดยผู้วิจัยสาธิตให้ผู้ปกครองดู 4 ขั้นตอน คือ
ขั้นตอนที่ 1 ให้เด็กเรียนรู้จากของจริง
โดยให้เด็กดู สัมผัส จับต้อง ลูบคลำสิ่งของที่จะให้เด็กเรียนรู้
ขั้นตอนที่
2 ให้เด็กรู้จักชื่อ
ลักษณะและคุณสมบัติของสิ่งของ
ขั้นตอนที่
3 ให้เด็กแยกแยะประเภทของสิ่งของตามลักษณะและคุณสมบัติ
ขั้นตอนที่
4 สรุป
10.1.1 ผู้ปกครอง 2
กลุ่ม สอนตามวิธีการที่ผู้วิจัยกำหนดให้
กลุ่มที่
1 ผู้ปกครองคิดวิธีสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กร่วมกับผู้วิจัย และสอนเด็ก 3
เรื่อง เรื่องละ 2สัปดาห์ รวมเป็น 6 สัปดาห์
-สัปดาห์ที่
1-2 เรื่องรูปวงกลม
-สัปดาห์ที่
3-4 เรื่องรูปสี่เหลี่ยม
-สัปดาห์ที่
5-6 เรื่องรูปสามเหลี่ยม
กลุ่มที่
2 ผู้ปกครองคิดวิธีสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กจากชุดการสอนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
และสอนเด็ก 3 เรื่อง เรื่องละ 2สัปดาห์ รวมเป็น 6 สัปดาห์
-สัปดาห์ที่
1-2 เรื่องรูปวงกลม
-สัปดาห์ที่
3-4 เรื่องรูปสี่เหลี่ยม
-สัปดาห์ที่
5-6 เรื่องรูปสามเหลี่ยม
10.2 ผู้วิจัยดำเนินการ ดังนี้
1.ผู้วิจัยทำการทดสอบเด็กด้วยแบบทดสอบความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์
เรื่อง ใหญ่ – เล็กยาว – สั้น หนัก – เบา
และ มาก – น้อย
ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นก่อนที่ผู้ปกครองจะสอนเด็ก เพื่อคัดเลือกเด็กที่ยังไม่มีความคิดรวบยอด
ในเรื่องดังกล่าวโดยยึดหลักเกณฑ์ที่ว่า เด็กที่ทำแบบทดสอบได้ในแต่ละเรื่องไม่เกิน
3 ข้อ จากแบบทดสอบทั้งหมด 10 ข้อ เป็นเด็กที่ยังไม่มีความคิดรวบยอดในเรื่องนั้น
2.ผู้ปกครองทั้ง
2 กลุ่ม
คิดวิธีและจัดหาสื่อในการสอนเด็กด้วยตนเองตามหัวข้อเรื่องที่ผู้วิจัยกำหนดให้ 4
เรื่อง เรื่องละ 1 สัปดาห์ รวม 4 สัปดาห์ตามลำดับ คือ
-สัปดาห์ที่
1 เรื่อง ใหญ่-เล็ก
-สัปดาห์ที่
2 เรื่อง ยาว-สั้น
-สัปดาห์ที่
3 เรื่อง หนัก-เบา
-สัปดาห์ที่
4 เรื่อง มาก-น้อย
10.3 ทำการทดสอบเด็กหลังการสอนชองผู้ปกครอง
ด้วยแบบทดสชุดเดียวกับก่อนการสอนของผู้ปกครอง
สัปดาห์ละ 1 เรื่อง
10.4 นำคะแนนที่เด็กทำได้ก่อนการสอนของผู้ปกครองและหลังการสอนของผู้ปกครอง
มาหาค่าเฉลี่ยและเปรียบเทียบกัน
11.การวิเคราะห์ข้อมูล
นำคะแนนที่ได้จากการทดสอบเด็กทั้ง 2 กลุ่ม ก่อนและหลังการทดสอบในขั้นตอนที่ 2 เรื่องใหญ่-
เล็ก ยาว-สั้น หนัก-เบา และ มาก-น้อย ไปหาค่าเฉลี่ย แล้วนำมาเปรียบเทียบกัน โดยใช้ T-test ในรูป Difference Score ของ Scott
12.สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
12.1 การหาค่าเฉลี่ย
12.1 การหาค่าเฉลี่ย
12.2 การหาความยากง่าย
13.สรุปผลการวิจัย
ความสามารถในการสร้างความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง
2 ½ -4 ปีบริบูรณ์
ในชนบทที่สอนโดยผู้ปกครองที่ได้รับการศึกษาโดยคิดวิธีสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กร่วมกับผู้วิจัย
และเรียนรู้วิธีการสอนและการใช้สื่อในการสอนเด็กจากชุดการสอนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
กลุ่มที่ 4 เรื่อง การพัฒนาโปรแกรมการศึกษาสำหรับผู้ปกครอง ในการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกายของเด็กวัยอนุบาลด้วยรูปแบบการให้ประชาชนในชนบทมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
การศึกษา: ปริญญาครุศาสตร์มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์
ปีที่ทำวิจัย: 2540
ผู้วิจัย: นางสาวเจนจิรา คงสุข
1.บทนำ ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
1.1 ปัญหาเด็กที่อยู่ในชนบทขาดการพัฒนาตามวัยอย่างต่อเนื่องครบทุกด้านโดยเฉพาะการพัฒนาทางสุขภาพ
1.2 ผู้ปกครองในหมู่บ้านชนบทของไทย
มีประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อพัฒนาการทางด้านร่างกายของเด็ก
1.3 ปัญหาการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกายของเด็กสามารถพิจารณาได้จากการอบรมเลี้ยงดูของผู้ปกครองในชนบท
1.4 ความเสื่อมถอยของบทบาทครอบครัวในการขาดการเตรียมตัวที่จะเป็นพ่อแม่
1.5 ปัญหาการส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกายของเด็กวัยอนุบาลในชนบท
ต้องครอบคลุมสมาชิกในครอบครัวและตัวผู้ปกครองเองด้วย
เพื่อพัฒนาโปรแกรมการศึกษาสำหรับผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายของเด็กวัยอนุบาล
ด้วยรูปแบบการให้ประชาชนในชนบทมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
3.ขอบเขตการศึกษาการวิจัย
3.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย
ผู้ปกครองของเด็กอนุบาลทั้งหมดในหมู่บ้านหนองกก หมู่ที่ 4 ตำบลพัฒนา อำเภอพรพิน
จังหวัดนครศรีธรรมราช ในปี พ.ศ. 2540 มีจำนวนทั้งสิ้น 39 คน
3.2 ระยะเวลาในการทำวิจัย
ผู้วิจัยใช้เวลาเก็บข้อมูลพื้นฐานเพื่อสร้างโปรแกรม เป็นเวลา 5 เดือน และดำเนินการทดลองใช้โปรแกรม
รวมทั้งติดตามผลการใช้โปรแกรม เป็นเวลา 3 เดือน รวมทั้งสิ้น 8 เดือน
4.ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
4.1 ตัวแปรต้น
ได้แก่ โปรแกรมการศึกษาสำหรับผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายของเด็กอนุบาล
ด้วยรูปแบบการใช้ประชาชนในชนบทมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
4.2 ตัวแปรตาม
ได้แก่ แบบแผนพฤติกรรมของผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายของเด็กอนุบาล
5.นิยามศัพท์เฉพาะ
5.1 รูปแบบการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
แนวทางการดำเนินการเพื่อกระตุ้นให้ประชาชนในชนบทเข้าร่วมกลุ่มกันทำกิจกรรมเกี่ยวกับการจัดระบบ
ความคิด และความรู้และความรู้เกี่ยวกับชุมชนของตน
เพื่อประมวลความรู้ความเข้าใจของตน
5.2 การส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายของเด็กอนุบาล
การปฏิบัติเพื่อส่งเสริมให้เด็กอนุบาลเป็นผู้มีสุขภาพดี
และมีอัตราการเจริญเติบโตเหมาะสมกับวัย
5.3 โปรแกรมการศึกษาสำหรับผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายของเด็กวัยอนุบาล
ด้วยรูปแบบการให้ประชาชนในชนบทมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
แผนการจัดการศึกษาสำหรับผู้ปกครองซึ่งได้จากการนำแนวคิดเกี่ยวกับการจัดการศึกษาสำหรับผู้ปกครอง
การส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายของเด็กวัยอนุบาบาลและรูปแบบการให้ชนบทมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
5.4 ขั้นเตรียมการ
การดำเนินการเพื่อการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของผู้ปกครองของเด็กวัยอนุบาลในชุมชน เกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ทั่วไป และส่งเสริมพัฒนาการร่างกายของเด็กวัยอนุบาล
การดำเนินการเพื่อการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของผู้ปกครองของเด็กวัยอนุบาลในชุมชน เกี่ยวกับสภาพความเป็นอยู่ทั่วไป และส่งเสริมพัฒนาการร่างกายของเด็กวัยอนุบาล
5.5 ขั้นจัดกิจกรรม การดำเนินการเพื่อกระตุ้นให้ผู้ปกครองเกิดความตระหนักและแก้ปัญหาเกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาการร่างกายของเด็กวัยอนุบาล
บนข้อมูลพื้นฐานของข้อมูลและแผนที่ได้เตรียมไว้ในขั้นเตรียมการ
5.6 การพัฒนาโปรแกรมการศึกษาสำหรับผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายของเด็กวัยอนุบาล
ด้วยรูปแบบการให้ประชาชนในชนบทมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา กระบวนการซึ่งประกอบด้วยการนำแนวคิดเกี่ยวกับการจัดการศึกษาสำหรับผู้ปกครอง
การส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายของเด็กวัยอนุบาล
และรูปแบบการให้ประชาชนในชนบทมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
5.7 ผู้ใช้โปรแกรม ครู เจ้าหน้าที่อนามัย
หรือนักพัฒนาซึ่งอาจเป็นเจ้าหน้าที่ที่เป็นตัวแทนรัฐบาลหรือเอกชนที่เกี่ยวกับการพัฒนาชุมชนในภาคใต้
5.8 ผู้ปกครอง พ่อแม่ หรือ ผู้ใหญ่ที่มีความสัมพันธ์กับเด็กโดยอยู่ร่วมกันในครอบครัว
มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงในการอบรมเลี้ยงดูเด็กวัยอนุบาล
5.9 เด็กวัยอนุบาล เด็กอายุระหว่าง 3-6 ปี
6.สมมติฐานการวิจัย / คำถามของการวิจัย
ผู้ปกครองของเด็กวัยอนุบาลมีการเปลี่ยนแปลงแบบแผนพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายของเด็กวัยอนุบาล หลังจากเข้าร่วมโปรแกรมการศึกษาสำหรับผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายของเด็กวัยอนุบาล ด้วยรูปแบบการให้ประชาชนในชนบทมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา หรือไม่ อย่างไร
7.วิธีการดำเนินการวิจัย
7.1 ประชากร
ผู้ปกครองของเด็กวัยอนุบาลทั้งหมดในหมู่บ้านหนองกก
หมู่ที่ 4 ตำบลพัฒนา อำเภอพรพิน จังหวัดนครศรีธรรมราช
ในปีพ.ศ.2540 มีจำนวนทั้งสิ้น 39 คน
7.2 กลุ่มตัวอย่าง
ผู้ปกครองของเด็กวัยอนุบาล (3-6ปี) ในบ้านหนองกก หมู่ที่ 4 ตำบลพัฒนา
อำเภอพรพิน จังหวัดนครศรีธรรมราช ในปีพ.ศ.2540 จำนวน 8
คน
ได้มาโดยคัดเลือกแบบเจาะจงตามเกณฑ์ที่ระบุไว้ในโปรแกรม
8.เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ผู้ปกครองของเด็กวัยอนุบาลทั้งหมดในหมู่บ้านหนองกก หมู่ที่ 4 ตำบลพัฒนา อำเภอพรพิน จังหวันครศรีธรรมราช ในปีพ.ศ.2540 มีจำนวนทั้งสิ้น 39 คน
ประชากรที่ใช้ในการวิจัย ผู้ปกครองของเด็กวัยอนุบาลทั้งหมดในหมู่บ้านหนองกก หมู่ที่ 4 ตำบลพัฒนา อำเภอพรพิน จังหวันครศรีธรรมราช ในปีพ.ศ.2540 มีจำนวนทั้งสิ้น 39 คน
9.การดำเนินการวิจัย
ขั้นที่ 1 การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน
ขั้นที่ 2 การสร้างโปรแกรมการศึกษาสำหรับผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายของเด็กวัยอนุบาล
ด้วยรูปแบบการให้ประชาชนในชนบทมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
ขั้นที่ 3 การทดลองการใช้โปรแกรมการศึกษาสำหรับผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายของเด็กวัยอนุบาล
ขั้นที่ 4 การปรับปรุงโปรแกรมการศึกษาสำหรับผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายของเด็กวัยอนุบาล
ด้วยรูปแบบการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
10.การวิเคราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูล
ในระยะที่ 1 ในช่วงของการเก็บข้อมูลพื้นฐานเพื่อตั้งคำถามของการวิจัย ผู้วิจัยเริ่มต้นจากการวิเคราะห์โดยการจำแนกชนิดของข้อมูล เพื่อจัดข้อมูลให้เป็นหมวดหมู่
หรือเป็นชนิดตามลักษณะร่วมของข้อมูลเหล่านั้น
10.2 การสร้างข้อสรุปย่อยด้วยการวิเคราะห์แบบอุปนัย
จากข้อมูลในสัมภาษณ์ผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายของเด็กวัยอนุบาล
ที่ทำดัชนีแล้วข้างต้น นำมาวิเคราะห์โดยการจำแนกชนิดของข้อมูล
และหาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลกับดัชนี เพื่อนำมาสร้างข้อสรุป 11.สถิติที่ใช้ในการวิจัย
การเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลการศึกษาวิจัย แบ่งเป็น 2 ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 ผลการทดลองใช้โปรแกรมฯ ประกอบด้วยข้อมูล 3 ประเด็นใหญ่ๆ คือ
1.ข้อมูลพื้นฐานเพื่อการตั้งคำถามของวิจัย
2.คำตอบของการวิจัย:
การเปลี่ยนแปลงแผนพฤติกรรมของผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายของเด็กวัยอนุบาล
3.ข้อค้นพบอื่นๆ
ตอนที่ 2 ข้อค้นพบที่ได้จากการทดลองและการปรับปรุงแก้ไขโปรแกรมฯ
1.การนำข้อค้นพบที่ได้มาวิเคราะห์และปรับปรุงโปรแกรมฯ
12.สรุปผลการวิจัย
หลังการทดลองใช้โปรแกรมการศึกษาสำหรับผู้ปกครองในการส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายเด็ก
วัยอนุบาล
ด้วยรูปแบบการให้ประชาชนในชนบทมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาผู้ปกครองมีการเปลี่ยนแปลงแบบพฤติกรรมการส่งเสริมพัฒนาการทางร่างกายของเด็กวัยอนุบาลในเรื่องที่ผู้ปกครองเลือกมาแก้ปัญหา
ได้แก่ โรคฟันผุ ในเด็กวัยอนุบาล ดังนี้
1.ผู้ปกครองมีการเปลี่ยนแปลงแบบแผนพฤติกรรมการส่งเสริมการรักษาสุขภาพในช่องปากและฟันของเด็กอนุบาล
ด้านการแปรงฟัน
จากพฤติกรรมการไม่ได้ติดตามการดูแลการแปรงฟันของเด็กหรือติดตามอย่างไม่สม่ำเสมอ
มาเป็นพฤติกรรมการดูแลการแปรงฟันของเด็กอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอ
และเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กในด้านการแปรงฟัน
2.ผู้ปกครองมีการเปลี่ยนแปลงแบบแผนพฤติกรรมการส่งเสริมการรักษาสุขภาพในช่องปากและฟันของเด็กวัยอนุบาล
ด้านการรับประทานอาหารมีประโยชน์จากพฤติกรรมปล่อยให้เด็กเลือกซื้ออาหารรับประทานเองตามใจชอบ
ซึ่งมักไม่มีคุณค่าของสารอาหาร
มาเป็นพฤติกรรมดูแลรับประทานอาหารเด็กอย่างสม่ำเสมอด้วยการเลือกซื้ออาหารที่มีประโยชน์ให้เด็กรับประทาน
กำกับดูแลการเลือกซื้อและรับประทานอาหารอย่างใกล้ชิดรวมทั้งแบบอย่างที่ดีให้กับเด็กในการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
กลุ่มที่ 5 เรื่อง การเสริมพื้นฐานทักษะทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยผู้ปกครองผ่านชุดกิจกรรม“ สนุกกับลูกรัก ”
การศึกษา: ระดับปริญญาศึกษามหาบัณฑิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ปีที่ทำวิจัย:
2556
ผู้วิจัย: บุษยมาศ ผึ้งหลวง
1.บทนำ ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
1.2 เนื่องจากผู้ปกครองขาดความรู้ความเข้าใจในการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยเอาใจใส่ลูกเป็นครั้งคราว
1.3 ผู้ปกครองเป็นบุคคลสำคัญและใกล้ชิดกับเด็กมากที่สุดมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก
ผลักดันให้การดำเนินชีวิตของเด็กในด้านต่างๆประสบความสำเร็จได้
2.วัถตุประสงค์การวิจัย
2.1 เพื่อศึกษาทักษะทางคณิตศาสตร์
2.วัถตุประสงค์การวิจัย
2.1 เพื่อศึกษาทักษะทางคณิตศาสตร์
2.2 เพื่อศึกษาทักษะการเปลี่ยนแปลงของทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์
2.3 เพื่อเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
3.ขอบเขตการศึกษาการวิจัย
- เด็กปฐมวัยชาย-หญิง ที่มีอายุระหว่าง 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับอนุบาลปี่ที่ 1 โรงเรียนวัดผึ่งแดด แบบเจาะจง จำนวน 20 คน
4.ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
4.1 ตัวแปรต้น
- ชุดกิจกรรม “สนุกกับลูกรัก”
8.เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
3.ขอบเขตการศึกษาการวิจัย
- เด็กปฐมวัยชาย-หญิง ที่มีอายุระหว่าง 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับอนุบาลปี่ที่ 1 โรงเรียนวัดผึ่งแดด แบบเจาะจง จำนวน 20 คน
4.ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัยตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
4.1 ตัวแปรต้น
- ชุดกิจกรรม “สนุกกับลูกรัก”
4.2 ตัวแปรตาม
- ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย
5.นิยามศัพท์เฉพาะ
5.1 เด็กปฐมวัย หมายถึง เด็กชาย
–
หญิง
อายุระหว่าง
4-5 ปี
5.2 ผู้ปกครอง หมายถึง พ่อแม่ญาติพี่น้อง
บุคคลอื่นที่อยู่ไกล้ชิดเด็ก
5.3 กิจกรรม “สนุกกับลูกรัก”
หมายถึง เอกสารให้ความรู้แก่ผู้ปกครอง
6.สมมติฐานการวิจัย
หลังจากการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โดยผู้ปกครองผ่านชุดกิจกรรม
“สนุกกับลูกรัก”
เด็กปฐมวัยมีพัฒนาการทักษะทางพื้นฐานทางคณิตศาสตร์โยรวมและจำแนกรายทักษะสูงขึ้น
7.วิธีการดำเนินการวิจัย
7.1 กลุ่มตัวอย่าง
เด็กปฐมวัยชาย-หญิง
อายุ 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับอนุบาลปี่ที่ 1 โรงเรียนวัดผึ่งแดดแบบเจาะจง
20 คน
8.เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
8.1 ชุดกิจกรรม“สนุกกับลูกรัก” จำนวน 8
ชุด
8.2 แบบทดสอบเชิงปฏิบัติทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย
9.การดำเนินการวิจัย
9.1 ขอความร่วมมือจากผู้ปกครอง
9.2 ทำการทดสอบทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์เป็นรายบุคคล
9.3 เชิญผู้ปกครองเข้าร่วมปฐมนิเทศ
เพื่อรับทราบบทบาทและขั้นตอนของกิจกรรม
9.4 มอบหมายชุดกิจกรรมให้เด็ก
9.5 ผู้วิจัยเก็บรวบรวมชุดกิจกรรม
9.6 แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างผู้ปกครองละผู้วิจัย
9.7 ดำเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง ระยะเวลา 8
สัปดาห์ สัปดาห์ละ 3
วัน คือ วันจันทร์ พุธ ศุกร์ วันละ 45
นาที
ทั้งหมด 24
ครั้ง
10.การวิเคราะห์ข้อมูล
10.1 การแปรผลระดับทักษะทางคณิตศาสตร์สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
10.2 การคำนวณหาค่าเฉลี่ยของคะแนน
10.3 การคำนวณหาค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน
11.สถิติที่ใช้ในการวิจัย
11.1 หาค่าความเที่ยงตรงแบบทดสอบรายข้อ
11.2 หาค่าความยากง่ายแบบทดสอบรายข้อ
11.3 หาค่าอำนาจจำแนกแบบทดสอบ
11.4 หาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ
11.5 หาค่าเฉลี่ยของคะแนน
11.6 หาค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน
11.7 ใช้สูตร
T – test หาค่าความแตกต่างของคะแนนเฉลี่ยก่อน-หลัง
ทำการทดลอง
12.สรุปผลการวิจัย
12.1 เด็กปฐมวัยที่ได้รับการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัย โดยผู้
ปกครองผ่านชุดกิจกรรมลูกรัก ทั้งโดยรวมและจำแนกรายทักษะ พบว่า เด็กปฐมวัยหลังได้รับการส่ง
เสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยผู้ปกครองผ่านชุดกิจกรรมสนุกกับลูกรัก มีการ
เปลี่ยนแปลงสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
12.2 การส่งเสริมทักษะพื้นฐาานทางคณิตศาสตร์ปฐมวัยก่อนการทดลองมีคะแนนโดยรวมอยู่ใน
ระดับควรปรับปรุง (=12.90) และหลังการทดลองที่ได้รับการส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ของ
เด็กปฐมวัย โดยผู้ปกครองผ่านชุดกิจกรรมลูกรัก มีคะแนนโดยรวมอยู่ในระดับดี (=30.35)
ประเมินตนเอง
เข้าเรียนตรงต่อเวลา การแต่งกายเรียบร้อย
และตั้งใจนำเสนองานวิจัยหน้าชั้นเรียน
อย่างเต็มค่ะ
อย่างเต็มค่ะ
ประเมินเพื่อน
เพื่อนๆทุกกลุ่ม มีการเตรียมตัวที่ดี ทั้งเนื้อหาในการรายงานและการเตรียมตัวรายงาน
อย่างเต็มค่ะ
อย่างเต็มค่ะ
ประเมินอาจารย์
อาจารย์มีแนะนำข้อมูลเพิ่มเติมในงานวิจัยบางกลุ่ม
เพื่อให้นักศึกษาเข้าใจมากยิ่งขึ้นค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น